วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้ม ถือเป็นเครื่องจิ้ม เครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น แถมอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถยกไปเสิร์ฟได้เลยถ้าไม่มีน้ำจิ้ม แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำจิ้มแต่ละถ้วยมีส่วนผสมอะไรบ้าง
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็ยังไล่เรียงชื่อน้ำจิ้มแต่ละถ้วยไม่หมดสักที มีหลายชนิดซะเหลือเกิน เลือกกินเลือกจิ้มคู่กับอาหารได้มากมายทั้งคาว-หวาน โดยเฉพาะคนไทย น้ำจิ้มถือเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะกินอาหารเมนูไหน ๆ ก็มักจะมีน้ำจิ้มแซมมาให้เห็นอยู่เสมอ แต่ทว่า น้ำจิ้มแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป ส่วนผสมก็แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อดย่างไรว่า น้ำจิ้มยอดฮิตที่เราชอบกินกันนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้างวันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมสูตรน้ำจิ้ม และวิธีทำน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากถึง 21 สูตรน้ำจิ้มด้วยกัน ชอบสูตรไหนก็เลือกจิ้มกันได้ตามใจชอบเลยครับ
1. น้ำจิ้มสุกี้
ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สิ่งที่ต้องเตรียม
ซอสพริก 1 ขวดใหญ่
น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี
ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี
ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี
ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี
กระเทียมดอง 2 ทัพพี
น้ำตาลทราย 3 ทัพพี
พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด
กระเทียม 6 กลีบ
เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น
งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ
น้ำมันงา 2 ทัพพี
ผักชี และผักชีฝรั่งซอย
วิธีทำ
1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้
......................................................................................
2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !
ส่วนผสม
พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด
พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด
กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย
รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
......................................................................................
3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยครับ
ส่วนผสม
ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย
ซอสพริก 3/4 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย
เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน
น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา
งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ
............................................................................
4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยครับ
ส่วนผสม
กะทิ 2 ถ้วย
ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
...................................................................................................................
5. น้ำจิ้มอาจาด
ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย
ส่วนผสม
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
แตงกวาซอย
หอมแดงซอย
พริกชี้ฟ้าแดงเม็ดใหญ่ซอย
วิธีทำ
1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ
.......................................................................
6. น้ำจิ้มแจ่ว
เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจากคุณเนินน้ำ
ส่วนผสม
น้ำมะขามเปียก 50 กรัม
น้ำอุ่น 1 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ
.....................................................................................................
7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว
ส่วนผสม
พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด
กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมดอง 3 หัว
น้ำ 1 ถ้วย
น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย
เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิรฟ
.........................................................................................
8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า
ส่วนผสม
น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย
น้ำปลา 1/4 ถ้วย
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย
หอมแดงเจียว
พริกขี้หนูแห้งทอด
วิธีทำ
1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ
.......................................................................................
9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว
ส่วนผสม
เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น สำหรับปรุงรส
น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูแดงสับละเอียด
วิธีทำ
1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
..........................................................................................
10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะครับ
ส่วนผสม
น้ำส้มสายชู
น้ำตาลทราย
กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ
พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว
ผักชีไทย
ใบสะระแหน่
เกลือป่น
นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
วิธีทำ
1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
........................................................................
11. น้ำจิ้มหอยทอด
หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะครับ
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
........................................................................................
12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด
กระเทียมไทย 20 กลีบ
รากผักชี 3 ราก
เกลือสมุทร 2 ช้อนชา
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
..................................................................................
13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !
ส่วนผสม
พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ
กระเทียม 5 กลีบ
เกลือป่น สำหรับปรุงรส
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา
..............................................................................
14. น้ำจิ้มขนมจีบ
ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด
กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
................................................................................................
15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย
ส่วนผสม
เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย
ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
......................................................................
16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด
น้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่นอกจากจะไว้กินกับเต้าหู้ทอดได้แล้ว ยังสามารถไว้กินกับอาหารทอดเพื่อนซี้อย่าง เผือดทอด มันทอด และข้าวโพดดทอดได้อีกด้วย
ส่วนผสม
น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/4 ถ้วย
พริกป่น ปริมาณตามชอบ
วิธีทำ
1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมเดือด และข้น ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้
2. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย เติมพริกป่น และถั่วลิสงคั่วบดหยาบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ
................................................................................
17. น้ำจิ้มยำมะม่วง
เวลาที่สั่งปลาแดดเดียวทอด ปลาทอดน้ำปลา ยำปลาดุกฟู ก็จะเห็นน้ำจิ้มยำมะม่วงถ้วยนี้เสิร์ฟมาเพิ่มรสชาติความแซ่บอยู่ด้วยเสมอ มีมะม่วงเปรี้ยวขูดเป็นเส้น ๆ เพิ่มความเปรี้ยวแซ่บขึ้นไปอีก
ส่วนผสม
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามความชอบ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
มะม่วงดิบสับเป็นเส้น
หัวหอมแดงซอย
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบ)
ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน
วิธีทำ
1. ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. เติมน้ำมะนาวลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยมะม่วงสับ หอมแดงซอย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ และใบขึ้นฉ่าย พร้อมเสิร์ฟ
......................................................................................
18. น้ำจิ้มเทมปุระ
อาหารญี่ปุ่นแบบทอดพวกเทมปุระ นอกจากจะมีความอร่อยกรุบกรอบของตัวอาหารเองแล้ว อย่าลืมนะคะว่า น้ำจิ้มเทมปุระก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เทมปุระของคุณครบเครื่องความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มเทมปุระตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปดาชิ หรือน้ำซุปปลาโอแห้ง ที่จะทำให้น้ำจิ้มถ้วยนี้ของคุณ แตะความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ มากขึ้น มาดูวิธีทำกันเลยดีกว่า
ส่วนผสม
น้ำซุปดาชิ 1/2 ถ้วย (น้ำซุปปลา)
ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1/3 ถ้วย
เหล้ามิริน หรือสาเก 1/3 ถ้วย
ขิงและหัวไช้เท้าขูดละเอียดปริมาณตามชอบ
ส่วนผสม น้ำซุปดาชิ
น้ำ 3 ถ้วย
สาหร่ายคอมบุ (เช็ดให้สะอาด) 2 ชิ้น
ปลาโอขูดแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
หมายเหตุ : ถ้าไม่สะดวกให้ใช้ผงฮอนดาดชิสำเร็จรูปผสมกับน้ำแทน
วิธีทำ
1. ทำน้ำซุปดาชิ โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สาหร่ายคมบุลงต้มด้วยไฟอ่อนจนสาหร่ายพองเต็มที่ (ประมาณ 30 นาที) ตักสาหร่ายออก
2. ใส่ปลาโอขูดแห้งลงต้มด้วยไฟแรงจนเดือดอีกครั้ง ช้อนเอาฟองอากาศออก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที จนเนื้อปลาจมลงด้านล่าง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
3. ใส่น้ำซุปดาชิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และมิรินลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับกับขิงและหัวไช้เท้าขูด
....................................................................................
19. น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
อาหารว่างแบบไทย ๆ อย่างเมี่ยงคำ ทีเด็ดก็อยู่ที่น้ำจิ้มเมี่ยงคำ หวาน ๆ เค็ม ๆ ตักราดบนเครื่องเคียงเคี้ยวกันตำโต ๆ กินอิ่มกินเพลินกันได้ทั้งครอบครัว อร่อยครบเครื่อง แถมยังมีประโยชน์ด้วย วันหยุดนี้ใครอยากจะลองทำเมี่ยงคำกินกันก็ลองมาดูสูตรน้ำจิ้มเมี่ยงคำกันทางนี้เลย
ส่วนผสม
ข่าหั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น
ตะไคร้ซอยบาง 1 ต้น
กะปิอย่างดี 2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
กุ้งแห้งโขลกละเอียด
ถั่วลิสงโขลกละเอียด
มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด
วิธีทำ
1. โขลกข่ากับตะไคร้ให้ละเอียด ใส่กะปิลงโขลกผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
2. ใส่น้ำ และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่โขลกไว้คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวจนส่วนผสมเหนียวและข้น ยกลงจากเตา พักไว้พออุ่น
3. ใส่กุ้งแห้งโขลก ถั่วลิสงโขลก และมะพร้าวคั่วโขลกลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
........................................................................
20. น้ำปลาหวาน
ถ้าพูดถึงมะม่วงเปรี้ยว ๆ ก็ต้องนึกถึงน้ำปลาหวาน ยังไงซะก็ต้องมาคู่กัน จิ้มกินกันเพลิน ๆ อร่อยสะใจดีจริง ๆ ถ้าวันไหนเกิดเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานขึ้นมา ก็มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานกันทางนี้ ทำใส่โหล แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน ๆ เลยนะครับ อยากจะกินตอนไหนก็จัดไปเลย
ส่วนผสม
น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม
กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา
น้ำปลาอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ
กุ้งแห้งตำพอหยาบ ¼ ถ้วยตวง
หอมแดงซอยบาง 5 หัว
พริกขี้หนูสวนซอย ปริมาณตามชอบ
วิธีทำ
1. ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลาย
2. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย เคี่ยวจนน้ำปลาหวานมีลักษณะใสขึ้น ปิดไฟ ยกลง ทิ้งไว้สักพักให้ฟองหายไป
3. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอย และพริกขี้หนูซอยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ
................................................................................................
21. กะปิหวาน
เวลาได้มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดมาสักหนึ่งลูก นอกจากน้ำปลาหวานคู่ชีพแล้วจะมีอะไรเด็ดไปกว่า กะปิหวาน นึกถึงก็น้ำลายสอข้างปาก แผล่บ ! ลองมาดูวิธีทำกะปิหวานรสเด็ดที่ว่านี้กันเลยดีกว่า
ส่วนผสม
กะปิอย่างดี 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
น้ำ 1/4 ถ้วย
หอมแดงซอย
พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามชอบ
วิธีทำ
1. ใส่กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำ ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งบนไฟกลาง เคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. ใส่หอมแดง และพริกขี้หนูซอยลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรน้ำจิ้มหลากหลายสูตรที่เรานำมาฝาก นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม ๆ เท่านั้นนะครับ ใครชอบสูตรไหน แบบไหน ก็เลือกจิ้มกันได้ตามชอบเลยครับ

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันหยุดราชการและวันหยุดธนาคารประจำปี พ.ศ. 2558

วันหยุดราชการและ วันหยุดธนาคาร ประจำปี พ.ศ. 2558

รวบรวมข้อมูล ปฏิทิน 2558 ฉบับครบถ้วนสมบูรณ์ ข้อมูล ปฏิทิน 2558 ทั้ง วันหยุดประจําปี 2558 วันหยุดราชการ วันพระ และวันสำคัญต่างๆ ประจำปี 2558 ใน ปฏิทินปี 2558 มาดู วันหยุดประจําปี 2558 ใน ปฎิทินปี 2558 Calendar 2015 และวันสำคัญอื่นๆ ใน ปฏิทิน 2558 กันได้เลย
ราชการธนาคาร
พฤหัสบดี1 มกราคม 2558วันขึ้นปีใหม่วันหยุดวันหยุด
ศุกร์2 มกราคม 2558ครม. ประกาศให้เป็นวันหยุดปีใหม่วันหยุดวันหยุด
พุธ4 มีนาคม 2558วันมาฆบูชาวันหยุดวันหยุด
จันทร์6 เมษายน 2558วันจักรีวันหยุดวันหยุด
จันทร์13 เมษายน 2558วันสงกรานต์วันหยุดวันหยุด
อังคาร14 เมษายน 2558วันสงกรานต์วันหยุดวันหยุด
พุธ15 เมษายน 2558วันสงกรานต์วันหยุดวันหยุด
ศุกร์1 พฤษภาคม 2558วันแรงงานแห่งชาติวันหยุด
อังคาร5 พฤษภาคม 2558วันฉัตรมงคลวันหยุดวันหยุด
จันทร์1 มิถุนายน 2558วันวิสาขบูชาวันหยุดวันหยุด
พุธ1 กรกฎาคม 2558วันหยุดภาคครึ่งปี ธนาคารวันหยุด
พฤหัสบดี30 กรกฎาคม 2558วันอาสาฬหบูชาวันหยุดวันหยุด
ศุกร์31 กรกฎาคม 2558วันเข้าพรรษาวันหยุด
พุธ12 สิงหาคม 2558วันแม่วันหยุดวันหยุด
ศุกร์23 ตุลาคม 2558วันปิยมหาราชวันหยุดวันหยุด
เสาร์5 ธันวาคม 2558วันพ่อแห่งชาติ
จันทร์7 ธันวาคม 2558หยุดชดเชย วันพ่อแห่งชาติวันหยุดวันหยุด
พฤหัสบดี10 ธันวาคม 2558วันพระราชทานรัฐธรรมนูญวันหยุดวันหยุด
พฤหัสบดี31 ธันวาคม 2558วันสิ้นปีวันหยุดวันหยุด
   
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.kapook.com/

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน



          เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนกลัวงูเลยทีเดียว หากมีงูเข้าบ้านให้ต้องกระวนกระวายใจ เพราะเมื่องูเข้าบ้านมาแล้ว ก็อาจจะไปซุกตัวอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ไม่ยอมจากไปง่าย ๆ แถมยิ่งถ้าเป็นงูที่มีพิษด้วยล่ะก็ ยิ่งเสี่ยงจะเกิดอันตรายกับคนในบ้านได้มาก โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มักมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอชุกชุมเป็นพิเศษ ดังนั้นหากใครอยากรู้ วิธีกันงูเข้าบ้าน หรือ ทำอย่างไรไม่ให้งูเข้าบ้าน วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาฝากแล้วจ้า

ลักษณะของงู

          งู เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ลำตัวยาว ไม่มีขา เคลื่อนไหวได้ด้วยการเลื้อยอย่างปราดเปรียวและว่องไว ยกเว้นงูขนาดใหญ่ที่มักเคลื่อนที่ช้า ลำตัวมีเกล็ดหุ้ม ไม่มีเปลือกตา มีลิ้นสองแฉกเพื่อใช้รับความรู้สึกทางกลิ่น ทั้งนี้ส่วนใหญ่งูมักจะกลัวคนและไม่ค่อยกัด นอกจากถูกรบกวน โดยจะออกหาเหยื่อเมื่อรู้สึกหิว และมักกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น หนู, จิ้งจก, ลูกไก่, กระต่าย ฯลฯ

          โดย งู มีอยู่จำนวนนับร้อยชนิด ทั้งแบบมีพิษ และไม่มีพิษ แต่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยคือ งูเห่า (มีพิษ) งูจงอาง (มีพิษ) งูเขียว (ไม่มีพิษ หรือมีพิษน้อย) งูหลามและงูเหลือม (ไม่มีพิษ แต่เขมือบเหยื่อได้ทั้งตัว) เป็นต้น

งูเข้าบ้าน เกิดจากสาเหตุอะไร

1. มีแหล่งอาหาร

          หากบ้านหรือสถานที่แห่งนั้น มีแหล่งอาหารงูที่อุดมสมบูรณ์ เช่น มีหนูชุกชุม หรือเลี้ยงสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่าง นกและลูกไก่ อีกทั้งหากมีสวนที่หญ้ารกหรือต้นไม้อุดมสมบูรณ์ งูก็มักจะมาซ่อนตัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน

2. ไม่มีสุนัขหรือแมว

          บ้านไหนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง หรือมักไม่ค่อยมีคนอยู่บ้าน งูจะชอบมากเป็นพิเศษ เนื่องจากงูชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่มีศัตรูมาคอยก่อความรำคาญ ยิ่งหากเป็นหน้าฝนหรือมีน้ำท่วมขัง งูก็จะมุ่งตรงเข้าบ้านเพื่อเลื้อยหาที่แห้ง ๆ ให้ซุกตัว

3. มีมุมอับให้วางไข่

          หากบ้านไหนมีมุมอับที่ไม่มีคนรบกวน งูมักจะเลือกเป็นพื้นที่อาศัยหรือวางไข่  เช่น ใต้ถุนบ้าน ใต้หลังคา ฝ้าเพดาน หรือในตู้ที่ไม่ค่อยเปิดใช้งาน เป็นต้น โดยงูจะเลือกบริเวณที่มีอุณหภูมิเหมาะสม มีความอบอุ่น และไม่มีกลิ่นหรือเสียงรบกวน





วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน

          แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้งูเลื้อยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแน่ ๆ ดังนั้นก่อนที่จะมีงูโผล่มาเยือนถึงในบ้าน ให้ต้องหวาดระแวง ลองมาดูวิธีป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ ดังนี้

 1. น้ำมันกลิ่นฉุน

          กลิ่นแรง ๆ ของน้ำมันเครื่อง น้ำมันก๊าด น้ำมันสน หรือน้ำมันรถ จะทำให้งูไม่อยากย่างกรายเข้ามาใกล้ เพราะงูเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบกลิ่นแรง ๆ ดังนั้นในช่วงหน้าฝน หรือหากพบเห็นงูมาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ บ้าน ก็ลองเอาน้ำมันกลิ่นแรง ๆ ไปราดไว้บริเวณรอบ ๆ บ้าน ก็จะช่วยไล่งูให้หนีไปทางอื่นได้

 2. กรวด

          กรวด หรือหินก้อนเล็ก ๆ หากนำมาโรยไว้รอบตัวบ้าน ก็จะทำให้งูเกิดอุปสรรคในการเลื้อย เพราะเมื่อเจอกับก้อนกรวดจนทำให้เลื้อยลำบาก งูก็จะเปลี่ยนใจไปที่อื่นในที่สุด

 3. เลี้ยงสุนัข

          แม้ดูแล้วจะเหมือนให้สุนัขเสี่ยงอันตรายแทน แต่ที่จริงแล้วสุนัขมักจะไม่นิ่งเฉยหากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาใกล้ ส่วนงูก็เป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย ดังนั้นหากงูเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ ๆ บ้าน สุนัขก็จะส่งเสียงเห่า ทำให้งูตกใจและหนีไปเอง บ้านไหนที่เลี้ยงสุนัขเอาไว้จึงได้เปรียบในกรณีนี้ แต่หากเป็นงูขนาดใหญ่สุนัขก็อาจเกิดอันตรายได้

 4. แผ่นกันงู

          เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับติดไว้ที่ผนัง หรือเสาไฟ เพื่อดักไม่ให้งูเลื้อยผ่าน เพราะแผ่นกันงูทำจากพลาสติกที่มีความลื่นสูง จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการเลื้อย ซึ่งอาจทำให้งูตกลงมาหรือหมดแรงไปก่อน

 5. ตาข่าย

          การติดตั้งตาข่ายเอาไว้รอบบริเวณที่คาดว่าจะเป็นทางเดินของงู เพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน ก็จะช่วยดักงูไว้ได้อีกทาง ซึ่งตาข่ายที่นำมาติดตั้งนั้น ควรเลือกที่มีตาชิด ให้งูไม่สามารถลอดผ่านได้ หรือใช้ตาข่ายดักปลาแทนก็ได้  งูก็จะติดอยู่กับตาข่าย ไม่เลื้อยเข้าไปในบ้าน

 6. มุ้งลวด

          นอกจากตาข่ายแล้ว มุ้งลวดก็เป็นอีกอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันงูได้ในกรณีที่อยากใช้ในการปิดทางเดิน ไม่ให้งูเลื้อยผ่าน ซึ่งมุ้งลวดอาจมีความแตกต่างตรงที่ไม่สามารถดักให้งูติดอยู่ได้ แต่ก็สามารถป้องกันขวางทางเอาไว้ได้เช่นกัน

 7. กำมะถัน

          แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า กำมะถัน ใช้กันงูได้จริงหรือไม่ แต่หลายบ้านก็นิยมใช้กำมะถันผสมน้ำแล้วโรยเอาไว้รอบบ้าน เพื่อป้องกันงูเช่นกัน เนื่องจากเชื่อว่ากลิ่นฉุนของกำมะถันจะทำให้งูเลี่ยงไปทางอื่น ซึ่งในกรณีนี้อาจป้องกันงูไม่ได้ทุกชนิดและทุกตัว และอาจต้องโรยบ่อยในช่วงหน้าฝน เนื่องจากกลิ่นกำมะถันจะจางหายไปได้ง่าย

 8. ทำความสะอาดบ้าน

          กำจัดหนู และสิ่งสกปรกในบ้าน ก็จะช่วยไม่ให้งูมีแหล่งอาหารและที่พักพิง ซึ่งเป็นวิธีป้องกันที่เริ่มจากต้นตอได้มากที่สุด ที่สำคัญควรหมั่นตัดหญ้าและดูแลสวนอย่างสม่ำเสมอ งูจะได้ไม่ใช้เป็นที่แฝงตัว อีกทั้งควรหาอะไรมาปิดรูท่อ หรือใส่ตะแกรงท่อระบายน้ำเอาไว้ด้วย งูจะได้ไม่เลื้อยเข้าบ้านทางท่อระบายน้ำ และอย่าลืมดูรองเท้าก่อนใส่ทุกครั้ง เพราะในรองเท้าเป็นตำแหน่งที่งูมักเข้ามาซุกซ่อนอยู่


วิธีแก้ปัญหา เมื่องูเข้าบ้าน

          หากบ้านไหนป้องกันงูเข้าบ้านแล้ว แต่เจ้างูก็ยังเลื้อยเข้ามาในบ้านจนได้ อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป ให้รีบตั้งสติให้ดี และทำตามขั้นตอนเหล่านี้

 1.สังเกตประเภทของงู

          พยายามสังเกตให้ดีว่า งูที่เลื้อยเข้ามาในบ้านเป็นงูชนิดใด ลักษณะอย่างไร และมีพิษหรือไม่ งูพิษที่พบบ่อย เช่น งูเห่า จะแผ่แม่เบี้ย, งูสามเหลี่ยม มีลำตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม, งูเขียวหางไหม้และงูกะปะมีลักษณะแก้มป่อง ตัวสั้น มีเกล็ดละเอียด เป็นต้น

 2. อยู่นิ่ง ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ

          งูจะตกใจหากมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หรือมีคนไล่ ดังนั้นให้ยืนนิ่ง ๆ หรือค่อย ๆ ขยับถอยหลังช้า ๆ โดยจับตามองความเคลื่อนไหวของงูเอาไว้ด้วย ที่สำคัญต้องเว้นระยะห่างให้ปลอดภัยจากการโดนฉก

 3. อย่าไล่หรือทำร้าย

          หากไม่มั่นใจว่าเป็นงูมีพิษหรือไม่ อย่าไล่หรือทำร้ายงูด้วยตัวเอง เพราะหากมีการไล่หรือทำร้าย งูอาจตกใจจนหนีหายไปซุกซ่อนอยู่ในมุมหลืบทำให้หาไม่เจอ หรืออาจพุ่งตัวเข้าฉกทันทีจนเกิดอันตรายได้ อีกทั้งยังเชื่อกันว่ากลิ่นเลือดและสารบางอย่างในตัวงู จะทำให้เรียกสมัครพรรคพวกงูเข้ามาเสริมทัพได้ด้วย ดังนั้นจึงห้ามตีงูจะดีกว่า

 4. แจ้งขอความช่วยเหลือ

          โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย เพื่อมาจับงูออกจากบ้านไป เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เพราะเจ้าหน้าที่มีความชำนาญมากพอที่จะจับงูต่าง ๆ ออกจากบ้านไปได้โดยไม่ทำอันตรายคนในบ้าน


          ได้รู้จักกับวิธีป้องกันงูเข้าบ้าน และวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่องูเข้าบ้านกันไปแล้ว บ้านไหนกำลังกลุ้มใจกับปัญหานี้อยู่ ก็ลองนำวิธีเหล่านี้ไปลองใช้ดูกันได้นะคะ

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปลายักษ์ Fangtooth แฟงค์ทูธ อสูรกายใต้ทะเลลึก

Fangtooth แฟงค์ทูธ อสูรกายใต้ทะเลลึก

Fangtooth

ด้วยลักษณะรูปร่างที่น่ากลัวทำให้ปลาชนิดนี้มีอีกชื่อ Orgefish ตัวที่โตเต็มวัยมีหลากสีตั้งแต่ น้ำตาลแก่ จนถึงดำ ในขณะที่ตัวที่อายุยังน้อยมีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะมีสีเทาสว่างและมีหนามยาวบนหัวFangtooth หรือ Anoplogaster cornuta คือปลาที่รูปร่างน่าสยดสยองอีกชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก แต่ถึงแม้จะมีรูปร่างเหมือนสัตว์ประหลาด ตัวโตเต็มวัยก็มีความยาวแค่ 6 นิ้ว แถมมีลำตัวสั้นและหัวขนาดใหญ่ แฟงค์ทูธ ตั้งชื่อตามตัวปลาที่มีฟันยาวและคม เหมือนเขี้ยวเรียงตัวกันอยู่ในปากขนาดใหญ่



แฟงค์ทูธเป็นอีกสายพันธุ์สุดขั้วที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกลงไปถึง 16,000 ฟุต ด้วยความลึกระดับนี้ แรงดันน้ำจึงมีระดับสูงและเย็นมากจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง อาหารจึงเป็นสิ่งหายาก ดังนั้นแฟงค์ทูธจึงกินทุกอย่างที่หาได้ และอาหารส่วนใหญ่ก็ตกลงมาจากทะเลด้านบน



ปลาชนิดนี้พบเจอได้ทั่วโลกในเขตภูมิภาคอบอุ่นและร้อนชื้น รวมถึงทวีปออสเตรเลีย


วิธีไล่แมงมุม 9 วิธีจัดการ



ถึงแมงมุมจะไม่ใช่สัตว์มีพิษร้ายแรง แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้แมงมุมสร้างรังลอยนวลอยู่ร่วมบ้านกับเราแน่ ๆ โดยเฉพาะกับคนที่เกลียดกลัวแมงมุมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็คงต้องรีบสรรหาวิธีไล่แมงมุมออกจากบ้านอย่างเร่งด่วนถ้าบังเอิญพบใยแมงมุมหรือเห็นแว๊บ ๆ ว่าเจ้าแปดขากำลังวิ่งพล่านอยู่ในบ้าน แต่จะมีวิธีไล่แมงมุมแบบไหนที่ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ทำอันตรายกับทั้งคนในบ้าน และเจ้าแมงมุมด้วย เอ้า ! วิธีไล่แมงมุม ต่อไปนี้ล่ะจ้า ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ครบทุกข้อเลย ว่าแล้วก็มาศึกษาวิธีไล่แมงมุมด้วยสูตรธรรมชาติกันเลย

 1. ไล่แมงมุมด้วยสเปรย์เปปเปอร์มิ้นต์

          ไม่ต้องไปหาซื้อน้ำยาป้องกันแมงมุงจากที่ไหนให้ยุ่งยาก เพราะเพียงแค่คุณผสมน้ำกับน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์หรือตะไคร้หอมไว้ในกระบอกสเปรย์ แล้วจัดการฉีดพรมสเปรย์ที่ทำไว้ให้รอบบ้าน เน้นตรงจุดที่มักจะเจอแมงมุมไต่อยู่ด้วยก็ดี แค่นี้เจ้าแมงมุมก็จะไม่มากวนใจอีกต่อไป เพราะแมงมุมกับกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ฉุน ๆ ไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่

 2. สเปรย์น้ำส้มสายชูป้องกันแมงมุม

          หากไม่อยากวุ่นวายหาซื้อน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ คุณก็สามารถใช้น้ำส้มสายชูแทนเปปเปอร์มิ้นต์ก็ได้ โดยผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำสะอาดเข้าด้วยกัน เทใส่กระบอกสเปรย์ แล้วฉีดพรมให้ทั่วบ้านเพื่อป้องกันแมงมุมไม่ให้เข้ามาใกล้บ้าน แต่อาจจะต้องทนกลิ่นฉุนเปรี้ยว ๆ ของน้ำส้มสายชูสักหน่อยนะ

 3. ทำความสะอาดบ้านให้หมดจด

          วิธีที่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าลำบากก็ไม่เต็มปากนักอย่างการทำความสะอาดบ้าน ก็เป็นวิธีไล่แมงมุมอีกวิธีหนึ่งที่เห็นผลชัดเจนเหมือนกัน เพราะถ้าเราจัดการความรกในบ้านได้ทุกจุด เหล่าแมงมุมก็จะไม่มีที่ซ่องสุม และไม่มีโอกาสทำรังอยู่ ดังนั้นหากกลัวแมงมุมก็ต้องห้ามขี้เกียจทำงานบ้านเด็ดขาดเลยนะจ๊ะ

 4. เลี้ยงแมวเฝ้าบ้านจากแมงมุม

          สัตว์เลี้ยงขนนุ่มนิ่มอย่างแมวก็มีส่วนช่วยป้องกันแมงมุมได้ด้วยนะคะ เพราะแมวมีสัญชาตญาณในการไล่ล่าพอสมควร ยิ่งได้เห็นสัตว์ที่ตัวเล็กกว่า แมวก็จะให้ความสนใจ และไล่จับแมงมุมมาเล่นเพื่อความสนุกสนาน และความซุกซนของแมวนี่ล่ะที่จะทำให้แมงมุมขยาด ไม่กล้าเข้าใกล้รัศมีแมวกันเลย

 5. ปิดทางเข้าให้สนิท

          เมื่อไม่อยากให้แมงมุมเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้าน ก็ต้องจัดการปิดทางเข้าทุกทางที่คิดว่าแมงมุมจะสามารถไต่เข้ามาได้ เริ่มตั้งแต่สำรวจหน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก ว่ามีกิ่งไม้ หรือวัสดุที่ยื่นมาชิดกับขอบประตู และหน้าต่างบ้านหรือเปล่า หากมีก็คงต้องจัดการตัดทิ้งซะ เพื่อปิดทางเชื่อมต่อ ไม่ให้แมงมุมไต่เข้ามาในบ้านได้ และก็ควรใช้สเปรย์ป้องกันแมงมุมจากสูตรที่บอกไว้ข้างต้นมาฉีดพรมป้องกันไว้ด้วย

 6. ละเลงกลิ่นส้มให้ฟุ้ง

          แมงมุมเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบกลิ่นไซตรัสทุกชนิด หรือกลิ่นของผลไม้รสเปรี้ยวอย่างส้ม มะนาว เลมอน เกรปฟรุต ดังนั้นคุณจึงสามารถอาศัยความไม่ชอบของแมงมุมในข้อนี้ มาเป็นปราการป้องกันแมงมุมเข้าบ้านได้ ด้วยการใช้เปลือกส้ม หรือเปลือกมะนาว ละเลงตามขอบหน้าต่าง ขอบประตู มุมกำแพง ชั้นหนังสือ และจุดที่มักจะเจอแมงมุมบ่อย ๆ รวมทั้งตั้งน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นส้มไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้านด้วยก็ได้จ้า

 7. สกัดแมงมุมด้วยน้ำมันซีดาร์

          ไม้ซีดาร์มีคุณสมบัติเฉพาะตัวในเรื่องของการป้องกันแมลง แต่ในบ้านเราอาจจะหาต้นซีดาร์ไม่ง่ายนัก เพราะเป็นพืชที่นิยมปลูกในต่างประเทศ แต่อาจจะหาน้ำมันสกัดจากต้นซีดาร์ได้ง่ายกว่า ซึ่งหากคุณหมดหนทางสกัดกั้นแมงมุมจริง ๆ ก็สามารถหาซื้อน้ำมันสกัดจากต้นซีดาร์ แล้วนำมาทาตามขอบหน้าต่าง ประตู หรือตามจุดที่มักจะมีแมงมุมมาป้วนเปี้ยนก็ได้ รับรองว่าเจอซีดาร์เข้าไป แมงมุมจะไม่กล้าเข้ามาใกล้บ้านคุณแน่ ๆ

 8. เกาลัด ยันต์กันแมงมุม

          เม็ดเกาลัดที่แสนอร่อยก็เป็นยันต์กันแมงมุมชั้นดีเช่นกัน เพียงแค่คุณวางเม็ดเกาลัดตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน ก็เหมือนเป็นการแปะป้ายห้ามเข้าสำหรับแมงมุมอย่างไรอย่างนั้นเชียวล่ะ ไม่เชื่อมาลองดูกันสักตั้งไหมจ๊ะ

 9. น้ำยาสกัดกั้นแมงมุมจากยาสูบ 

          เรารูกันดีว่ายาสูบไม่ดีต่อปอดของเราแน่ ๆ แต่อาจจะไม่รู้ว่า ยาสูบก็เป็นของแสลงสำหรับเจ้าแมงมุม 8 ขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้เส้นยาสูบวางตามมุมโปรดต่าง ๆ ของแมงมุม หรือจะนำยาสูบไปแช่น้ำ แล้วใช้น้ำนั้นฉีดพรมตามบริเวณต่าง ๆ ภายในบ้านเพื่อป้องกันแมงมุมก็ได้ค่ะ

การกำจัดมอดแบบง่าย


เราจะกำจัดมอดอย่างไร 



พิสูจน์ได้และแค่ฟังหลักการก็ถึงบางอ้อแล้วครับ ปลอดภัยต่อการบริโภค ทำง่าย ประหยัดพลังงานมาก วิธีทำมีดังนี้

- หาถุงร้อนขนาด 7-11 นิ้ว มาให้เพียงพอที่จะแบ่งบรรจุข้าวสารที่มีมอดขึ้น ให้เพียงพอ

- หาถ้วยมาตัดข้าวสารที่มีมอดบรรจุใส่ถุง ใส่ให้เต็มถุงพอให้มัดหนังยางได้
(จะได้ข้าวสารหนักประมาณกิโลเศษๆ ต่อถุง)

- มัดหนังยางปากถุงให้สนิท

- นำข้าวสารที่เตรียมเสร็จแล้วไปเข้าเตาไมโครเวฟ แล้วปรับปรุงปุ่มที่ไมโครเวฟไปยังช่องของละลายน้ำแข็ง (defroze)
*** ขอย้ำว่าปรับปุ่มที่ไมโครเวฟไปยังช่องละลายน้ำแข็ง (defroze)
*** เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวสารสุกหรือไหม้

- ตั้งเวลาให้ไมโครเวฟทำงานเป็นเวลา 7 นาที ข้าวจะร้อนขึ้น และถ่ายเทความร้อนไปสู่ตัวมอด
รวมถึงตัวหนอนจะตายเพราะความร้อนของข้าวสาร โดยจะหนีออกมาตายที่ผิวของถุงพลาสติกด้านในจดหมด
เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟ จะทะลุทะลวงเมล็ดข้าวไปถึงยังข้าวสารชั้นในสุด มอด และตัวหนอน (ลูกๆของมอด)
จึงพยายามตะเกียกตะกายออกมาที่ด้านนอกของข้าวสาร แต่จะติดที่ถุงด้านใน เพราะเราเอายางรัดไว้ที่ปากถุง
เมื่อมันหนีออกมาไม่ได้จึงตายภายในถุงนั้นแหละ เหมือนที่เขาคั่วเกาลัดโดยคั่วในทรายร้อนนั่นแหละหลักการเดียวกัน
(โปรดทราบว่าคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถฆ่ามอดโดยตรงได้เพราะตัวมันมีน้ำน้อยมากจึงไม่ทำให้มันสุกได้)
จากนั้นให้เอาถุงข้าวสารออกมาจากตู้อบไมโครเวฟ

- นำข้าวสารถุงใหม่เข้าไมโครเวฟ ทำอย่างนี้ไปจนกว่าข้าวสารที่เตรียมไว้จะหมด

- เปิดปากถุงที่รัดด้วยยางออกเพื่อให้ไอน้ำที่เกาะภายในถุงได้ระเหยออกไปเป็นเวลา 1 ชั่วโมง

- ปิดปากถุงด้วยยางรัดอีกครั้งแล้วนำไปเก็บในถังข้าวสาร เพื่อไว้หุงต่อไป

- เมื่อนำข้าวมาหุง ให้ทำการซาวน้ำก่อน จะทำให้ตัวมอดนั้นลอยขึ้นมา เท่านี้ก็ทานข้าวให้อร่อยได้แล้วครับ


CREDIT : http://www.asiainterrice.com

มอดศัตรูข้าวตามธรรมชาติ 


"มอด"เป็นศัตรูของข้าวตามธรรมชาติ 



ซึ่งอาจเกิดขึ้นและเติบโตได้จากการเก็บข้าวสารไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งหากไข่ของมอดที่ตกค้างในเมล็ดข้าวได้รับออกซิเจนและอยู่ในภาวะอุณหภูมิที่เหมาะสมจะเร่งให้มอดสามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้เป็นอย่างดีมอดที่เราสามารถพบได้ในข้าวสารมีอยู่หลายชนิดรูปร่างและลักษณะแตกต่างกันออกไปแต่มอดที่เราพบได้บ่อยๆคือ มอดข้าวสาร (Rice weevil)

มารู้จัก มอดข้าวสาร





หากเป็นการกำจัดในระดับโรงเก็บหรือยุ้งฉาง หรือในภาคเกษตรอุตสาหกรรมต้องคลุมผ้าใบแล้ว
ใช้ยาฟอสฟีนซึ่งเป็นสารเคมีกำจัดมอดที่ปลอดภัยสามารถใช้กำจัดมอดก่อนนำมาบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์
หากเป็นการกำจัดในระดับครัวเรือน คือซื้อข้าวมาหุงกินในระดับ 15 ถึง 100 กิโลกรัม แล้วกินไม่ทัน
มอดลงไปจัดการกินข้าวและวางไข่เสียแล้ว อย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรชาวบ้านที่บอกว่าให้ใส่พริกแห้ง หรือ ใบมะกรูด
หนักถึงขึ้นบางคนก็ว่าเอาตะปูเหล็กใส่ลงไปเพื่อไล่บ้างละ บางคนก็ให้เอาไปแช่ในช่องเย็นแช่แข็ง 3 วันบ้างล่ะ
(มอดเป็นสัตว์เลือดเย็น มีน้ำในตัวน้อยมากพอออกจากช่องแช่แข็งมันสามารถฟื้นได้ครับ) ล้วนเป็นวิธีการที่ได้ผลในระยะสั้น
หรือไม่ได้ผลเลยซึ่งวิธีการเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์



วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วันหยุดประจำปี 2557 : วันหยุดราชการและ วันหยุดธนาคาร

วันหยุดราชการและ วันหยุดธนาคาร ประจำปี พ.ศ. 2557

รวบรวมข้อมูล ปฏิทิน 2557 ฉบับครบถ้วนสมบูรณ์ ข้อมูล ปฏิทิน 2557 ทั้ง วันหยุดประจําปี 2557 วันหยุดราชการ วันพระ และวันสำคัญต่างๆ ประจำปี 2557 ใน ปฏิทินปี 2557 มาดู วันหยุดประจําปี 2557 ใน ปฎิทินปี 2557 Calendar 2014 และวันสำคัญอื่นๆ ใน ปฏิทิน 2557 กันได้เลย
      ราชการ ธนาคาร
พุธ 1 มกราคม 2557 วันขึ้นปีใหม่ วันหยุด วันหยุด
ศุกร์ 14 กุมภาพันธ์ 2557 วันมาฆบูชา วันหยุด วันหยุด
อาทิตย์ 6 เมษายน 2557 วันจักรี
จันทร์ 7 เมษายน 2557 ชดเชย วันจักรี วันหยุด วันหยุด
อาทิตย์ 13 เมษายน 2557 วันสงกรานต์
จันทร์ 14 เมษายน 2557 วันสงกรานต์ วันหยุด วันหยุด
อังคาร 15 เมษายน 2557 วันสงกรานต์ วันหยุด วันหยุด
พุธ 16 เมษายน 2557 ชดเชย วันสงกรานต์ วันหยุด วันหยุด
พฤหัสบดี 1 พฤษภาคม 2557 วันแรงงานแห่งชาติ วันหยุด
จันทร์ 5 พฤษภาคม 2557 วันฉัตรมงคล วันหยุด วันหยุด
ศุกร์ 9 พฤษภาคม 2557 วันพืชมงคล วันหยุด  
อังคาร 13 พฤษภาคม 2557 วันวิสาขบูชา วันหยุด วันหยุด
อังคาร 1 กรกฎาคม 2557 วันหยุดภาคครึ่งปี ธนาคาร วันหยุด
ศุกร์ 11 กรกฎาคม 2557 วันอาสาฬหบูชา วันหยุด วันหยุด
เสาร์ 12 กรกฎาคม 2557 วันเข้าพรรษา
จันทร์ 14 กรกฎาคม 2557 ชดเชย วันเข้าพรรษา วันหยุด
อังคาร 12 สิงหาคม 2557 วันแม่ วันหยุด วันหยุด
พฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557 วันปิยมหาราช วันหยุด วันหยุด
ศุกร์ 5 ธันวาคม 2557 วันชาติ / วันพ่อ วันหยุด วันหยุด
พุธ 10 ธันวาคม 2557 วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ วันหยุด วันหยุด
พุธ 31 ธันวาคม 2557 วันสิ้นปี วันหยุด วันหยุด